วันอังคารที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2554

ความพอเพียงที่เพียงพอ

การใช้ชีวิตของเรานั้น ถ้าจะว่ายากก็ยาก จะว่าง่ายก็ง่าย คือ มันขึ้นอยู่กับว่าเราจะใช้ชีวิตอย่างไร บางคนเวลาในหนึ่งวันแทบจะไม่เพียงพอกับงานที่ทำ หรือหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบ แต่สำหรับบางคนแล้ว เวลาในหนึ่งวันช่างเหลือเฟือเหลือเกิน ที่จะได้ทำในสิ่งที่ต้องการ น่าคิดนะว่าทำไมจึงเป็นเช่นนั้น คำตอบข้อนี้ทุกคนคงพอจะเข้าใจและดูออกอยู่บ้างว่าเป็นเพราะเหตุใด อันนี้ไม่ได้ต้องการส่งเสริมหรือเข้าข้างคนที่ขี้เกียจหรือไม่เอาการเอางานอะไรนะ แต่ที่หยิบยกเรื่องนี้มาก็เพื่อหวังว่าจะทำให้หลายคนได้หยุดคิดถึงความสุขจากความสงบ เรียบง่ายในชีวิตบ้างก็เท่านั้นเอง ทุกวันนี้ผู้คนต่างวุ่นวายอยู่กับการหาอยู่หากินกันแทบทุกคน จนแทบหาความสงบจากจิตจากใจไม่ได้เลย คำตอบจากหลายๆ คนที่ต้องมีชีวิตที่วุ่นวายนั้นส่วนใหญ่จะมาจาก "มีภาระรับผิดชอบมาก มีรายจ่ายมาก ไม่ทำก็ไม่มีกินเหมือนคนอื่นเขา หรือไม่ก็อยากมีอย่างโน้นอย่างนี้บ้าง เพราะเห็นคนอื่นเขาก็มีกัน" ปัจจัยที่เห็นได้ชัดเจนก็คือ ความอยาก นั่นเองที่ผลักดันให้ชีวิตคนเราต้องมีการแข่งขัน ดิ้นรน ต่อสู้ กันแทบทุกวี่ทุกวัน ความจริงแล้วตัว ความอยากนั้นก็ไม่ได้ไม่ดีเสมอไป ถ้าเรารู้จักใช้ความอยากให้เพียงพอต่อการใช้ชีวิตของเรา คือปรับความอยากให้พอดิบพอดี ไม่มาก ไม่น้อยเกินไป ชีวิตก็จะไม่ยุ่งยาก ไม่เดือดร้อน วุ่นวาย จะได้มีเวลาที่จะได้อยู่กับกาย กับใจของตัวเราเองบ้าง บางครั้งถ้าเราหันกลับมามองที่คำว่า "พอเพียง" บ้าง...ชีวิตเราจะง่ายขึ้นอีกเยอะ ถ้าเราเดินตามเส้นทางนี้ กับคำว่าความพอเพียง ที่เพียงพอ แล้วละก็ ความสุขที่เราไม่ค่อยจะได้สัมผัสมาก่อน อาจจะนานแสนนานจนแทบจำไม่ได้แล้วก็ตาม จะกลับหวนคืนมา ถึงตอนนั้นเราจะมีเวลาในหนึ่งวันที่มากพอที่จะทำสิ่งต่างๆ อย่างมีความสุข....ก่อนที่จะอยากได้ อยากมี ก็ลองถามใจดูว่า ถ้าไม่มีแล้วอยู่ได้มั้ย เพราะว่าถ้าเกิดตัวอยากขึ้นแล้ว ความทุกข์จะเริ่มเข้ามาหาตัวคุณทันที.....



                                                                                                                       โดย...โยธิน 28 / 12 / 2554

วันพฤหัสบดีที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2554

ธรรมในคำกลอน ท่านพุธทาส

                มองถูก ทุกข์คลาย

              มองอะไร ให้เห็น เป็นครูสอน             มองไม้ขอน หรือมองคน ถ้าค้นหา
              มีสิ่งสอน เสมอกัน มีปัญญา                  จะพบว่า ล้วนมีพิษ อนิจจัง

              จะมองทุกข์ หรือมองสุข มองให้ดี       ว่าจะเป็น อย่างที่ เรานึกหวัง
              หรือเป็นไป ตามปัจจัย ให้ระวัง             อย่าคลุ้มคลั่ง จะมองเห็น เป็นธรรมดา
   
              มองโดยนัย ให้มันสอน จะถอนโศก     มองเยกโยก มันไม่สอน นอนเป็นบ้า
              มองไม่เป็น จะโทษใคร ที่ไหนมา         มองถูกท่า ทุกข์ก็คลาย สลายเอง ฯ


คอนกลอนท่านพุธทาส

             มองแต่แง่ดีเถิด

        เขามีส่วน เลวบ้าง ก็ช่างเขา                     จงเลือกเอา ส่วนที่ดี เขามีอยู่
        เป็นประโยชน์ แก่โลกบ้าง ยังน่าดู             ส่วนที่ชั่ว อย่าไปรู้ ของเขาเลย
        การจะหาคนดี โดยฝ่ายเดียว                    อย่าไปเที่ยว มองหา สหายเอ๋ย 
        เหมือนเที่ยวหา หนวดเต่า ตายเปล่าเลย      ฝึกให้เคย มองแต่ดี มีคุณจริง ฯ










คิด พูด ทำ ให้มีสติก่อนเสมอ

     การฝึกรู้สึกตัว หรือการเจริญสตินั้นมีความสำคัญและจำเป็นอย่างยิ่งในการใช้ชีวิตในแต่ล่ะวัน
     เพราะการมีสติก่อนที่จะ คิด พูด หรือทำ นั้นจะเป็นกรอบกั้นความฟุ้งซ่าน ความประมาท ให้ออกไปจากการคิด พูด ทำ ของเรา เพราะฉะนั้นเมื่อเรา คิด พูด ทำ ด้วยสติแล้ว โอกาสที่การคิด การพูด การทำ ก็ไม่เกิดความบกพร่อง ความเดือดร้อน ทั้งตัวเรา และคนที่เกี่ยวข้องด้วยเช่นกัน เมื่อไม่มีความเดือดร้อน ไม่มีความบกพร่องในการ คิด พูด ทำ แล้ว ไม่ว่าจะทำงานหรือประการใดก็ตามย่อมที่จะประสบผลสำเร็จด้วยดีทั้งสิ้น

วันพุธที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2554

สงครามภายใน

สิ่งที่สู้ได้ยากที่สุด ทนได้ยากที่สุด ก็คือใจ เพราะใจนี้เป็นใหญ่กว่าสิ่งทั้งหลาย จึงยากที่จะเอาชนะได้ แต่แม้จะยากมากเท่าไหร่ก็ตาม หากเราสู้จนคว้าชัยมาได้แล้ว เรื่องทุกอย่างในโลกนี้ จะหนักหรือจะเบา ก็ไม่สามารถที่จำทำให้เรานั้นหวั่นไหวหรือผ่ายแพ้ลงได้ เพราะเราได้ชนะสงครามที่หนักหนาและยิ่งใหญ่กว่ามาแล้ว นั่นก็คือการได้ชนะใจ ผู้ที่ถูกกิเลสบัญชาการให้มารบกับเรา (สติ) และถูกเรากำหลาบลงอย่างราบคาบมาแล้ว

ละความยึดติด

     ความยึดมั่น ถือมั่น ล้วนแต่จะนำมาซึ่งความทุกข์ เพราะความยึดถือเอาว่าเป็นของๆ ตนนี้แหละ ที่ทำให้คนเรานั้นหลงคิดไปว่าสิ่งทั้งหลายที่เรามี เราครอบครองอยู่เป็นของแน่นอน และเป็นกรรมสิทธิ์ถาวร โดยลืมไปว่าไม่มีอะไรในโลกที่จะอยู่ยั่งยืนนานไปได้ ถ้าเราไปยึดกับสิ่งของหรือวัตถุนั้นๆ สิ่งของหรือวัตถุนั้นก็จะเป็นตัวทำให้เราทุกข์ ถ้าเราไปหลงยึดติดกับคนรัก กับหน้าที่การงาน กับอำนาจ ชื่อเสียง สิ่งเหล่านี้ก็จะเป็นตัวทำให้เราทุกข์อีกเช่นกัน ทุกข์เพราะอะไร ทุกข์เพราะกลัวว่าวันหนึ่งสิ่งที่เคยมีอาจจะไม่มี หรืออาจจะน้อยลงไป ซึ่งในความเป็นจริงแล้วถ้ามองกันดีๆ แบบเป็นกลางก็จะเห็นว่าไม่มีอะไรเลยในโลกนี้ที่จะไม่เปลี่ยนแปลงไป ทุกอย่างล้วนต้องแปรเปลี่ยนไปด้วยกันทั้งสิ้น แม้แต่ร่างกายของเราก็ตามยังต้องเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา ทุกอย่าง "ล้วนอนิจจัง"

ความสุขอยู่แค่เอื้อม

     คนเรานั้นเวลาพบเจอปัญหา หรือเผชิญกับอุปสรรคในชีวิตก็จะเป็นทุกข์ ซึ่งความทุกข์นั้นหลายคนเข้าใจว่ามาจากสิ่งภายนอกเสียเป็นส่วนใหญ่ เช่น หัวหน้างาน เพื่อนร่วมงาน คนรอบข้าง ฯลฯ แต่น้อยคนนักที่จะหันมาดู มาเห็น ว่าแท้ที่จริงความทุกข์นั้นไม่ได้อยู่ที่ภายนอก หากแต่มีอยู่และเกิดอยู่ที่ใจของเราต่างหาก เมื่อรู้อย่างนี้แล้วก็จะเข้าใจได้อีกว่า สิ่งต่างๆ ภายนอกนั้นเป็นแค่ตัวกระตุ้นให้เกิดเท่านั้น แต่ตัวที่จะเกิดหรือไม่เกิดนั้นกลับไม่ใช่สิ่งภายนอก แต่เป็นสิ่งที่อยู่ภายในนี้ต่างหาก นั่นก็คือ ใจ ของเรานั่นเอง ใจเราเป็นตัวปรุงแต่งให้เกิดทุกข์ หากเราเข้าใจอย่างนี้ก็จะไม่ชี้โทษออกไปภายนอก เพราะภายนอกนั้นเป็นปัจจัยที่ควบคุมได้ยาก แต่ปัจจัยภายในนี้เราสร้างเราคุมได้ง่าย เพราะฉะนั้นสุขหรือทุกข์มันก็อยู่ที่ภายใน ที่เดียวกันทั้งนั้น แต่ใครจะเห็นหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับบุคคลนั้นๆ ไป